A comprehensive guide to manufacturers, distributors, and suppliers providing machinery, industrial equipment and automation system in Thailand.

NEWS

    

เปิดทางรอดธุรกิจยุคพลังงานสะอาด ชี้ช่องผู้ประกอบการไทยร่วม RE100

“พลังงานสะอาด"

เปิดทางรอดธุรกิจยุคพลังงานสะอาด ชี้ช่องผู้ประกอบการไทยร่วม RE100 ชิงความได้เปรียบแข่งเวทีโลก

เวทีสัมมนา “พลังงานสะอาด” ความยั่งยืน และทางรอดธุรกิจยุคใหม่ แชร์ประสบการณ์ทางเลือก และทางรอดสำหรับธุรกิจยุคใหม่จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจากกลุ่ม RE 100 ระดมสมองวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจพลังงานในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ชี้ช่องทางเร่งรับมือรวมกลุ่มเพื่อกระตุ้นธุรกิจไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานสะอาดได้ทั้ง 100 % ภายในปี 2040

การสัมมนาหัวข้อ“พลังงานสะอาด” ความยั่งยืน และทางรอดธุรกิจยุคใหม่ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติด้านพลังงานสะอาด เจาะลึกแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืน มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานและร่วมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “รื้อ ลด ปลด สร้าง เพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ความยั่งยืน” และมีไฮไลต์สำคัญจากกลุ่ม RE 100 ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือระดับโลกในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงาน 100% มาแบ่งปันประสบการณ์สู่ผู้ประกอบการไทย

“อธิป

นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้อมูลจาก Energy Transition Investment Trends 2024 ของบลูมเบิร์กคาดว่าจากมูลค่าทั่วโลกประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2023จะเพิ่มเป็น 4 – 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2030 ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และเหตุผลทางธุรกิจ

ปัจจัยแรก ผลกระทบจาก Global Warmingได้ส่งผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังสร้างความเสียหายให้กับโลกคิดเป็นมูลค่าราว 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (ปี 2000 – 2019) ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรมที่ต้องปรับตัวตามสภาพอากาศ น้ำท่วมที่มีความถี่เพิ่มขึ้น และที่น่ากังวลประการหนึ่งคือ ประเทศไทยติดอันดับ TOP 10 ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Global Warming มากที่สุดในโลกด้วย

ปัจจัยที่สอง เหตุผลทางธุรกิจ ปัจจุบันจะเริ่มเห็นนโยบายที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องเริ่มลดปริมาณคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่ดำเนินการ เช่น การออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่ผลักดันเก็บภาษีในผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์บอนเข้มข้น เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และไฟฟ้าบางชนิด ที่นำเข้าไปยังสหภาพยุโรปหรือ CORSIA เริ่มออกนโยบายให้อุตสาหกรรมการบินต้องเริ่มใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Tesla, Apple ต่างมีเป้าหมายในการเข้าถึง Net ZeroEmissions ทั้งห่วงโซ่การผลิตภายในปี 2030นั่นหมายความว่า ธุรกิจที่จะเข้าร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ๆ เหล่านี้จะต้องใช้พลังงานสะอาดทั้ง 100% ด้วย แนวโน้มที่กล่าวมาชี้ให้เห็นว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไกลตัวอีกต่อไป แม้ว่าธุรกิจจะไม่ได้ส่งออกไปยุโรป หรือเป็นคู่ค้ากับบริษัทที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงเรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด ซึ่งประเทศไทยก็เริ่มมีการกล่าวถึงเรื่องการจัดเก็บภาษีคาร์บอน และการเตรียมออกกฎหมายพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประเทศไทย เหล่านี้จะเริ่มมีผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจในไทยอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี ในการกระตุ้นหรือผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงยุคโลกรวนนี้ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ กล่าวคือ ผู้ประกอบการยังมองว่าเรื่องธุรกิจพลังงานสะอาดหรือธุรกิจแบบสีเขียว (Green) ไม่ได้เป็นเรื่องหลักที่องค์กรต้องให้ความสำคัญลำดับแรกๆ เพราะธุรกิจของตนไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Green และยังมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะดำเนินการ ที่สำคัญคือมีราคาแพงทำให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นไปอีก

“การทลายกำแพงความคิดในเรื่อง Go Green เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จ Green จะต้องถูกวางเป็นกลยุทธ์ในอนาคตขององค์กร Green จะเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายหากทำถูกทาง และที่สำคัญ Green จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและปลดล็อคข้อจำกัดการเข้าสู่ที่ตลาดสำคัญที่มีข้อจำกัด” นายอธิปกล่าว

การจัดงานในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นที่จะช่วยให้องค์กร ภาคธุรกิจ และสังคม เกิดความตระหนักรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเป็น อีกแรงหนึ่งที่จะผลักดันส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจไทยมีมุมมองแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะปรับตัว รวมทั้งมีแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และก่อให้เกิดธุรกิจที่ยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต

“โทบี้

นายโทบี้ วอร์คเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายของ RE 100 จากลอนดอน สหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า การสัมมนามุ่งนำเสนอทฤษฎีแห่งการเปลี่ยนแปลงของ RE 100 ที่เน้นความร่วมมือกันขับเคลื่อนภารกิจเร่งการเปลี่ยนแปลง การขยายสู่โครงข่าย เพื่อให้ของการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยส่งเสริมนโยบายด้านการตลาดที่สำคัญ ทั้งเพิ่มสนับสนุนความพร้อม และความสามารถในการจ่ายพลังงานหมุนเวียน โดยมีกรณีศึกษาระดับภูมิภาคเอเชียจากญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่เป็นบทเรียนเพื่อนำมาประยุกต์กับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทย

สำหรับ RE 100 เป็นโครงการเครือข่ายที่เริ่มเริ่มด้านพลังงานทดแทนระดับองค์กรระดับโลกของ Climate Group โดยรวบรวมธุรกิจขนาดใหญ่กว่า 400 รายที่มุ่งมั่นจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานหมุนเวียน 100% ภารกิจคือการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่โครงข่ายคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2040 และเพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว กิจกรรมของกลุ่มจะเน้นส่งเสริมไปในพื้นที่ที่องค์กรยังไม่มีการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือมีแต่ยังค่อนข้างน้อยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก ซึ่งการเข้าร่วมจะเป็นเสมือนการส่งสัญญาณความต้องการต้องที่ชัดเจนไปยังภาครัฐของแต่ละประเทศให้ตระหนักถึงศักยภาพในการลงทุนที่เกี่ยวข้อง และพร้อมเร่งขจัดอุปสรรคด้านนโยบายเพื่อบริษัทต่างๆ สามารถจัดหาพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 100% ได้อย่างรวดเร็วและราคายุติธรรม โดยมีพื้นที่ในภูมิภาคที่สำคัญ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย แอฟริกาใต้ และสำหรับในประเทศไทย ก็หวังจะดึงความร่วมมือจากสมาชิกทั่วโลกที่มีสาขาสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยด้วย

“แม้จะยังบอกไม่ได้ถึงตัวเลขการลดปริมาณคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกของสมาชิกเนื่องจากขนาดของสมาชิก และขนาดกำลังการผลิตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตัวเลขที่อ้างอิงถึงได้คือ ขนาดความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของสมาชิกกว่า 400 รายมีมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าต่อปีของทั้งประเทศฝรั่งเศส และใกล้เคียงกับความต้องการใช้ไฟของเยอรมนีอีกด้วย โดยมีกำลังการผลิตเกิน 550TWh (เทระวัตต์-ชั่วโมง) ต่อปี และสมาชิกให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนได้ 100% ภายในปี 2050 ซึ่งในจำนวนนี้รวมแบรนด์ยักษ์ใหญ่ อย่าง Apple, Sony, Samsung Electronics, AB InBev และ Google” นายโทบี้กล่าว